Photo of SARX121 SARJ007
Photo of SARX125
Photo of SARX123
Photo of SARJ009
Exhibition 2

ย้อมด้วยความงามจากธรรมชาติ

คอลเลกชัน Seiko Presage Classic Series
เกิดขึ้นจากคำถามที่ว่า
“ความงามเชิงหน้าที่ในแบบญี่ปุ่นคืออะไร?”
ถ่ายทอดแนวคิดแห่งความงามอันอ่อนช้อยของญี่ปุ่น
ซีรีส์นี้สะท้อนถึง
ความละเมียดละไม
แบบดั้งเดิมของญี่ปุ่น
ความสง่างาม
เหนือกาลเวลา
ภายใต้กลไกจักรกลผลิตในญี่ปุ่น
พร้อมกันนี้
the Presage Museum
ยังทำหน้าที่เป็นแพลตฟอร์มในการถ่ายทอด
จิตสำนึกด้านความงามที่พัฒนาอย่างต่อเนื่อง
จากหลากหลายภูมิภาคทั่วญี่ปุ่น
ในฉบับที่สองนี้
เราขอพาไปพบกับผู้คน
ที่หลอมรวมธรรมชาติ
และสืบทอดอารมณ์ความงามแบบญี่ปุ่นไว้อย่างงดงาม

>หลอมรวมพลังแห่งธรรมชาติ
สู่ความงามเชิงหน้าที่ในชีวิตประจำวัน

โชจิ ชิมูระ ผู้อำนวยการ Atelier Shimura

ในสตูดิโอเล็ก ๆ บนตรอกเงียบทางตะวันตกของเกียวโต Atelier Shimura ถ่ายทอดพลังจากพืชพันธุ์ธรรมชาติ
สู่งานออกแบบผ้าไหมที่แฝงด้วยจิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ เพื่อโอบล้อมผู้สวมใส่และสะท้อนแนวคิด
“ความงามเชิงหน้าที่” โดย โชจิ ชิมูระ
ยังคงสืบทอดเจตจำนงของคุณย่าในการสร้างสรรค์งานศิลป์จากธรรมชาติ ให้กลายเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวันของผู้คน

ความงามแบบญี่ปุ่นที่สะท้อน “Functional Beauty” ได้อย่างลงตัว

หลอมรวมจิตวิญญาณแห่งพืชพรรณและไม้ใบ

การใช้ราก ผลเบอร์รี่ และพืชพรรณธรรมชาติมาย้อมเส้นด้ายเป็นภูมิปัญญาเก่าแก่ที่มีอยู่ในหลายวัฒนธรรม สำหรับที่ Atelier Shimura กระบวนการนี้แทบจะเหมือนพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ วันหนึ่งมีคนในสตูดิโอกล่าวไว้ว่า “เรารู้สึกขอบคุณต่อพืชและสีสันจากธรรมชาติ ดังนั้นเพื่อรับเอาพลังชีวิตจากพืช เราจึงต้องการถ่ายทอดสีสันอันงดงามของมันลงในผลงานของเรา ในอดีตผู้คนเชื่อว่าการย้อมเส้นด้ายด้วยพืชและไม้เป็นเสมือนการถ่ายทอดจิตวิญญาณของธรรมชาติ และเป็นการอธิษฐานในฝันถึงความรักต่อชีวิตของพืชพรรณเหล่านั้น”

ตามคำอธิบายของ Atelier Shimura คำภาษาญี่ปุ่นว่า kusaki-zome ซึ่งหมายถึงการย้อมสีจากพืชธรรมชาติ เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างแพร่หลายในช่วงต้นศตวรรษที่ 1900 เพื่อแยกให้เห็นความแตกต่างจากกระบวนการย้อมสีด้วยสารเคมีที่เกิดขึ้นในยุคใหม่

การตระหนักรู้ว่าธรรมชาติมีชีวิต

คุณ ชิมูระ อธิบายว่า แนวคิดของแบรนด์ Shimura เริ่มต้นจากคุณย่าของเขา คุณ Fukumi Shimura ซึ่งเขายังคงสืบทอดจิตวิญญาณแห่งศิลปะการย้อมสีของเธอ โดยมุ่งเน้นไปที่การใส่ “จิตวิญญาณแห่งธรรมชาติ” และ “ศิลปะ” ลงในผลงาน

เขากล่าวต่อว่า “อีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญคือการสืบทอดเทคนิค เราทำงานในกระบวนการย้อมแบบดั้งเดิมที่ใช้เส้นไหมจากตัวไหม นำมาย้อมด้วยพืชและไม้ จากนั้นจึงทอด้วยมือ เราตระหนักดีว่าธรรมชาตินั้นเป็นสิ่งมีชีวิต และระหว่างที่เราสร้างผลงาน เรามักพูดกันว่า ‘เรากำลังสนทนากับธรรมชาติอยู่’”

เมื่อถูกถามถึงแนวคิดของ “Functional Beauty” คุณ Shimura ตอบว่า “ผลงานของเราล้วนเกี่ยวข้องกับความงามเชิงหน้าที่ เพราะสิ่งเหล่านี้ถูกสร้างขึ้นเพื่อการใช้ในชีวิตประจำวัน มันมีคุณค่าทั้งในด้านการใช้งาน และในแง่ของการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของมนุษย์ สำหรับสิ่งที่ส่งผลต่อจิตใจมนุษย์ ศิลปหัตถกรรมพื้นบ้านมีแนวคิดที่เรียกว่า ‘ความคุ้นชินที่งดงาม’ หมายถึงความงามที่เกิดขึ้นจากสิ่งที่เราคุ้นเคย ซึ่งเป็นแนวคิดสำคัญของขบวนการศิลปะพื้นบ้าน และยังสะท้อนถึงการใช้ชีวิตรายล้อมด้วยสิ่งที่เติมเต็มหัวใจของเรา”

เฉดสีที่เคลื่อนไหวตามฤดูกาล

ในขณะเดียวกัน สีสันต่าง ๆ ก็อยู่ในภาวะเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา เขาอธิบายว่า “ในโลกของสีจากพืชธรรมชาติ ความรู้สึกแบบญี่ปุ่น คือการรับรู้ว่าสีอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่าน เป็นแนวคิดสำคัญในวิถีชีวิตของชาวญี่ปุ่นที่เข้าใจว่าสีไม่ได้คงที่ แต่เปลี่ยนไปตามกาลเวลา สีของพืชแตกต่างกันไปตามฤดูกาล เราจึงสับเปลี่ยนวัตถุดิบ เช่น ดอกซากุระ ดอกบ๊วย และไม้พันธุ์อื่น ๆ มาผสมผสานกัน ในกระบวนการนี้ กลีบดอกซากุระไม่ได้ตายไป แต่กลับมอบสีสันให้ผืนผ้า สีสันเหล่านี้จะค่อย ๆ เปลี่ยนแปลงและเพิ่มความละเมียดละไมตามกาลเวลา”

ความละเมียดที่สะท้อนรสนิยมแบบญี่ปุ่น

เมื่อถูกถามถึงคอลเลกชัน Presage Classic Series คุณ ชิมูระ กล่าวด้วยความชื่นชมว่า “วิธีหนึ่งในการนำวัฒนธรรมญี่ปุ่นแบบดั้งเดิมมาปรับใช้ในชีวิตสมัยใหม่ คือการแสดงออกอย่างละเมียด ไม่ฉูดฉาด แต่แฝงไว้ด้วยกลิ่นอายของความเป็นญี่ปุ่น”

ในคอลเลกชัน Seiko Presage Classic Series สี shiroiro (ขาวบริสุทธิ์) แทนสีของไหมดิบ และยังสื่อถึงความบริสุทธิ์และธรรมชาติ

Sumiiro (ดำหมึก) เป็นอีกสีหนึ่งที่น่าสนใจ รสนิยมสีในยุคเอโดะ (ค.ศ. 1603–1867) มีเฉดสีน้ำตาลกว่า 48 แบบ และสีเทากว่า 100 แบบ หนึ่งในเฉดที่ได้รับความนิยมคือสีดำหมึก ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของผู้ชายในยุคนั้นเพราะให้โทนสีเข้มและลึก

Araigaki (ส้มหมักลูกพลับ) เป็นสีที่สะท้อนวัฒนธรรมแห่งยุคเอโดะ ในสมัยนั้นรัฐบาลโชกุนได้ออกกฎห้ามการแต่งกายที่ฟุ่มเฟือย ผู้คนจึงหันมาสร้างสรรค์ลวดลายสวยงามภายในซับในของเสื้อผ้า สี Araigaki ถูกใช้กับซับในและแสดงถึงรสนิยมอันประณีตของแฟชั่นในยุคเอโดะ

Sensai-cha เป็นโทนเขียวที่เจือด้วยน้ำตาล มักใช้ในห้องชงชา และสะท้อนแนวคิดความงามแบบญี่ปุ่นที่ยอมรับในความไม่สมบูรณ์และเรียบง่าย

เขากล่าวต่อว่า “อีกสิ่งหนึ่งคือ นาฬิกาเป็นสิ่งที่แนบชิดกับผิวเรา ราวกับเป็นคู่หูใกล้ชิดที่สุด เราควรปฏิบัติต่อกันด้วยความรักและความใส่ใจ ผู้สวมใส่ควรรักนาฬิกาของตน และนาฬิกาก็ควรมอบความรักกลับคืน เพื่อที่ทั้งสองจะเติบโตไปด้วยกันในฐานะคู่หูที่ยืนยาว
ซึ่งนั่นแหละคือแนวคิดของ ความงามเชิงหน้าที่ หรือ Functional Beauty”

Photo of Atelier Shimura director Shoji Shimura

โชจิ ชิมูระ ผู้อำนวยการ Atelier Shimura

Photo of Seiko Presage Classic Series
Photo of Shoji Shimura
Photo of SARX121

สิ่งของที่มี “Functional Beauty” ไม่เพียงแต่มีประโยชน์ในชีวิตประจำวัน แต่ยังช่วยหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณของมนุษย์ เช่นเดียวกับเสื้อผ้าที่ผ่านการย้อมสีธรรมชาติ นาฬิกาที่อยู่แนบกับผิวของเราเปรียบเสมือนคู่หูที่ใกล้ชิดที่สุด และเราควรปฏิบัติต่อกันด้วยความรักและความห่วงใย

  • Photo of Sagano
  • Photo of Sagano

พื้นที่ซากาโนะทางฝั่งตะวันตกของเกียวโต เป็นสถานที่ที่จักรพรรดิซางะ บุคคลสำคัญด้านวัฒนธรรมในช่วงต้นสมัยเฮอัน (ปี 794–1185) ทรงย้ายมาประทับอยู่ วัดที่มีชื่อเสียงหลายแห่ง เช่น ไดคาคุจิ (ซึ่งก่อตั้งขึ้นโดยสืบทอดพระราชวังส่วนพระองค์ของจักรพรรดิซางะในช่วงต้นสมัยเฮอัน) ตั้งอยู่ในบริเวณนี้ ตั้งแต่นั้นมา พื้นที่นี้จึงเป็นที่รู้จักในฐานะสถานที่พักผ่อนและล่าสัตว์ของชนชั้นสูง มีการสร้างวิลล่าของขุนนางมากมาย พร้อมทั้งยังคงมีเทศกาลทางประวัติศาสตร์และงานประเพณีเก่าแก่จำนวนมาก ทำให้พื้นที่นี้เป็นสถานที่ที่ประวัติศาสตร์ยังคงมีชีวิตอยู่ การเยี่ยมชมย่านซากาโนะจะทำให้คุณได้สัมผัสบรรยากาศสงบแบบเกียวโตในยุคโบราณอย่างแท้จริง

สิ่งที่สะท้อนถึง
ความงามแบบญี่ปุ่น
×
Seiko Presage Classic Series
วัฒนธรรมขนมหวานแห่งเกียวโต

Photo of Kyoto's Confectionery Culture

“ไม่ต้องสมบูรณ์แบบนัก” ความหวานแบบเกียวโตที่สืบทอดมา

หยิบยืมรากเหง้าจากประเพณีโบราณ
เพื่อสร้างสรรค์ผลงานร่วมสมัย

โยชิคาซุ โยชิมูระ เจ้าของร้านขนมญี่ปุ่นรุ่นที่แปดซึ่งเปิดกิจการมาตั้งแต่ปี 1803 ได้อธิบายถึงบทบาทสำคัญของน้ำตาลในประวัติศาสตร์ของร้านว่า “ในอดีต น้ำตาลเป็นของหายากเกินกว่าที่คนทั่วไปจะหามาใช้ได้ แต่เมื่อสงครามในยุคเซ็นโกคุช่วงศตวรรษที่ 15 และ 16 สิ้นสุดลง และเข้าสู่ยุคสันติอย่างสมัยเอโดะ (1603–1867) วัฒนธรรมของชาวเมืองก็เริ่มเฟื่องฟู การค้าขยายตัว และมีการหมุนเวียนของเงินเพิ่มขึ้น เพื่อควบคุมการใช้น้ำตาลซึ่งยังคงเป็นของล้ำค่า รัฐบาลโชกุนโทะกุงะวะจึงจำกัดจำนวนร้านขนมที่สามารถใช้น้ำตาลได้”

เขายังเล่าต่อว่า วัฒนธรรมขนมหวานของญี่ปุ่นเริ่มเติบโตอย่างแท้จริงในสมัยเอโดะ “ส่วนขนมตะวันตกนั้นเริ่มแพร่หลายมากขึ้นในยุคเมจิ (ยุคแห่งการปฏิรูปและความทันสมัยตั้งแต่ปี 1868 เป็นต้นมา)” ขณะเปิดสมุดสูตรขนมที่บรรพบุรุษของเขาวาดไว้ด้วยมือตั้งแต่กว่าศตวรรษก่อน เขากล่าวถึงขนมดั้งเดิมของร้านที่ถูกปรับให้เข้ากับยุคใหม่ เช่น “สไลซ์โยกัง” ที่เป็นการจับคู่ถั่วแดงบดแบบญี่ปุ่นกับขนมปังปิ้งและเนย รวมถึงการร่วมมือสร้างขนมพิเศษในไลน์เฉพาะสำหรับห้างสรรพสินค้าชื่อดัง

Photo of Yoshikazu Yoshimura 8th generation family head and representative director of Kameya Yoshinaga

โยชิคาซุ โยชิมูระ
ทายาทรุ่นที่ 8 และกรรมการผู้จัดการของร้านคาเมยะ โยชินากะ

คง “เวลา” ไว้ในแพ็กเกจคลาสสิก

เมื่อพูดถึงลักษณะเฉพาะของวัฒนธรรมเกียวโต คุณโยชิมูระได้ย้ำถึง “ความสมดุล” ว่าเป็นสิ่งสำคัญ เขาต้องการขยายกิจการของบริษัท แต่เน้นว่าการเติบโตนั้นควรเป็นไปอย่างค่อยเป็นค่อยไป และยังคงเคารพรากเหง้าทางประเพณีของตนเอง เขายังกล่าวถึงแนวคิดด้านสุนทรียศาสตร์แบบญี่ปุ่นผ่านตัวอย่างหนึ่งในการทำขนมร่วมกับดีไซเนอร์ว่า “ผมทำขนมที่มีรูปทรงสมบูรณ์แบบมาก เมื่อนำไปให้ดีไซเนอร์ของลูกค้าดู เขากลับบอกว่า ‘สวยนะ แต่สวยเกินไปหน่อย ช่วยทำให้มันดูไม่สมบูรณ์แบบนิดหนึ่งได้ไหม’”

เมื่อถูกถามถึงความเห็นเกี่ยวกับ Presage Classic Series คุณโยชิมูระเล่าด้วยรอยยิ้มว่า “คุณพ่อของผมเคยมีนาฬิกา Seiko ที่มีสายลักษณะคล้ายกันนี้ ตอนที่เห็นมันอีกครั้ง ก็ทำให้ผมนึกถึงภาพความทรงจำของบริษัทขึ้นมา ผมจำไม่ได้ว่ามันถูกส่งต่อมาถึงผมได้อย่างไร แต่ครั้งหนึ่งผมก็เคยมีนาฬิกาแบบนี้ มันให้ความรู้สึกคลาสสิกจริง ๆ”

ในฐานะผู้สร้างขนมที่ให้ความสำคัญกับ “เวลา” เขากล่าวว่า “เวลาคือหัวใจของการทำขนม ทุกช่วงจังหวะล้วนมีความหมาย แต่เวลาเหล่านั้นก็เป็นเวลาของขนมเองด้วย เวลาที่ผมทำขนม บางครั้งรู้สึกว่าเวลาผ่านไปอย่างรวดเร็วราวกับหายไปในพริบตา และเมื่อผมจดจ่ออยู่กับการสร้างสรรค์งาน ผมก็รู้สึกเหมือนตัวเองได้หลุดออกไปจากขอบเขตของเวลา”

  • Photo of Sweet Kyoto Tradition
  • Photo of Sweet Kyoto Tradition
  • Photo of Sweet Kyoto Tradition

แสดงให้เห็นถึงความคิดสร้างสรรค์ในงานฝีมือของเขา คุณโยชิมูระได้ออกแบบขนมหวานพิเศษที่สะท้อนถึงสีสันและเอกลักษณ์ของนาฬิกาแต่ละเรือนในคอลเลกชัน Presage Classic Series

  • Photo of Kameya Yoshinaga
  • Photo of Kameya Yoshinaga

คาเมยะ โยชินากะ เป็นร้านขนมญี่ปุ่นเก่าแก่ที่ดำเนินกิจการมากว่า 220 ปี โดยยังคงเก็บรักษาวัสดุอันทรงคุณค่า เช่น แม่พิมพ์ไม้ทำขนม สมุดแคตตาล็อกสินค้าเขียนมือ และสูตรขนมที่สืบทอดต่อกันมาตั้งแต่สมัยเอโดะ (1603–1867) เมจิ (1868–1912) และไทโช (1912–1926)

สิ่งที่สะท้อน
ความงามแบบญี่ปุ่น
×
Seiko Presage Classic Series
วัฒนธรรมชาแห่งเกียวโต

Photo of Kyoto's Tea Culture

ประวัติศาสตร์ที่หยั่งรากในประเพณี

ใบชาท้องถิ่น เอกลักษณ์เฉพาะตัว
หล่อหลอมด้วยภูมิอากาศและพื้นที่ปลูก

อุจิ เมืองเล็ก ๆ ในจังหวัดเกียวโต ตั้งอยู่ระหว่างศูนย์กลางทางวัฒนธรรมของญี่ปุ่นอย่างเกียวโตและนารา เป็นพื้นที่ที่มีชื่อเสียงด้านชาเขียวคุณภาพสูง เว็บไซต์อุตสาหกรรมของจังหวัดเกียวโตระบุว่า ต้นกำเนิดของชาที่อุจิสามารถสืบย้อนไปได้ถึงศตวรรษที่ 13 โชโกะ นากามูระ เจ้าของร้าน “นากามูระ โทคิจิ ฮอนเทน” ร้านชาที่ก่อตั้งขึ้นตั้งแต่ปี 1854 อธิบายว่า แม้ชาจะปลูกได้ในหลายพื้นที่ของญี่ปุ่น แต่แต่ละพื้นที่กลับให้รสชาติและลักษณะเฉพาะที่แตกต่างกันออกไป เกียวโตตั้งอยู่ในพื้นที่สูงและมีอากาศหนาวเย็น จึงเหมาะสมอย่างยิ่งกับการปลูกชาเพื่อทำมัทฉะ (ชาเขียวบดผง) และ เกียวคุโระ (ชาเขียวรสหวาน) โดยใบชาคุณภาพสูงสุดสำหรับมัทฉะนั้นมีเพียงที่อุจิเท่านั้น

เนื่องจากสภาพอากาศที่หนาวเย็นในอดีต เกษตรกรผู้ปลูกชามักใช้ฟางคลุมต้นชาเพื่อช่วยควบคุมแสงแดดและชะลอการเจริญเติบโตของต้นอ่อน อย่างไรก็ตาม ในสมัยมุโรมาจิ (1336–1573) วิธีการปลูกและคลุมเช่นนี้ได้รับอนุญาตให้ใช้เฉพาะในเขตเกียวโตเท่านั้น และชาที่ได้ก็เป็นของหายากที่สงวนไว้สำหรับขุนนางและชนชั้นสูงของญี่ปุ่นในยุคนั้น

Photo of Shogo Nakamura 7th generation representative director of Nakamura Tokichi Honten

โชโกะ นากามูระ
ทายาทและผู้อำนวยการรุ่นที่ 7 ของร้านนากามูระ โทคิจิ ฮอนเทน

เติมนวัตกรรมเล็กน้อย เพื่อให้ประเพณียังคงเติบโตต่อไป

กล่าวถึงการเปลี่ยนแปลงในอุตสาหกรรมชา คุณนากามูระอธิบายถึงความเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจชาและสภาพอากาศตามฤดูกาลว่า “ปริมาณน้ำฝนหรืออุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนมีนาคมสามารถส่งผลให้ขนาดของใบชาต่างกันโดยสิ้นเชิง ปีนี้อุณหภูมิเฉลี่ยในเดือนกรกฎาคมสูงมาก แม้ว่าอากาศร้อนในฤดูร้อนจะไม่ใช่เรื่องแปลก แต่ถ้าร้อนเกินไป ใบชาจะไหม้ และรอยไหม้นั้นจะส่งผลต่อการเก็บเกี่ยวในปีถัดไป”

พร้อมกันนั้น เขายังเน้นถึงความอดทนและความเข้าใจในแก่นแท้ของธุรกิจควบคู่ไปกับการสร้างสรรค์สิ่งใหม่ ๆ “งานของเราไม่ได้มีแค่การขายใบชาให้ได้มากที่สุด แต่คือการสร้างสิ่งใหม่ และถ่ายทอดให้ผู้คนได้เข้าใจโลกของชา ผมอยากขยายขอบเขตและมอบความประหลาดใจผ่านสิ่งที่ผู้คนสามารถเพลิดเพลินได้” หนึ่งในตัวอย่างของนวัตกรรมนี้คือขนมหวานที่ทำจากชา ซึ่งมีรสชาติละเอียดอ่อนและเป็นเอกลักษณ์ของร้านนากามูระ โทคิจิ ฮอนเทน

แม้ประเพณีอันยาวนานอาจเป็นภาระสำหรับบางคน แต่คุณนากามูระกลับมองมันอย่างผ่อนคลาย “ผมเติบโตท่ามกลางประเพณีนี้” เขากล่าว “ดังนั้น สำหรับผมแล้ว ประเพณีไม่ใช่สิ่งที่ถูกเก็บไว้ในพิพิธภัณฑ์ แต่มันคือสิ่งที่ยังคงพัฒนาและเติบโตอยู่เสมอ”

นอกจากความหมายของประเพณีแล้ว เขายังชี้ให้เห็นถึงความละเอียดอ่อนของวัฒนธรรมญี่ปุ่น โดยเฉพาะเรื่อง “สีสัน” ซึ่งเป็นหัวใจของสุนทรียศาสตร์ญี่ปุ่น เขากล่าวว่า ตนเองรู้สึกเชื่อมโยงกับโทนสี sensaicha ในคอลเลกชัน Presage Classic Series เป็นพิเศษ “ผมไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขาทำสีนี้อย่างไร” เขากล่าว “แต่ดูเหมือนจะเริ่มจากสีเขียว แล้วค่อยเติมสีน้ำตาลลงในเนื้อสีหลัก”

การผสมผสานวัฒนธรรมดั้งเดิมเข้ากับวิถีชีวิตในปัจจุบันผ่านการใช้สี คืออีกหนึ่งวิธีในการต่อยอดประเพณีและสร้างเสน่ห์ใหม่ให้เกิดขึ้น

  • Photo of Nakamura Tokichi Honten
  • Photo of Tea
  • Photo of Tea