ในช่วงเวลานั้น ญี่ปุ่นอยู่ในกระบวนการฟื้นฟูประเทศหลังสงคราม และก้าวเข้าสู่ยุคแห่งการเติบโตอย่างรวดเร็ว ทั้งด้านเศรษฐกิจ อุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐานที่พัฒนาอย่างก้าวกระโดด ถนนสายด่วนเชื่อมเมืองใหญ่เริ่มถูกสร้าง รถยนต์เริ่มกลายเป็นเรื่องธรรมดาในชีวิตประจำวัน
เครื่องใช้ไฟฟ้าภายในบ้านอย่างโทรทัศน์ ตู้เย็น และเครื่องซักผ้า—ซึ่งได้รับสมญาว่า "สมบัติล้ำค่าทั้งสามแห่งยุคบริโภคนิยม"—กลายเป็นเครื่องหมายของคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างชัดเจนทั่วทั้งประเทศ
ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของวิถีชีวิตผู้คน และการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่กลายเป็นรากฐานของญี่ปุ่นยุคใหม่ เส้นทางของ King Seiko ได้เริ่มต้นขึ้น ด้วยเรือนเวลาที่ล้ำสมัย เปี่ยมด้วยสมรรถนะ และความเที่ยงตรงสูง ที่ถูกพัฒนาขึ้นเพื่อตอบโจทย์ผู้บริโภคยุคใหม่ซึ่งต้องการนาฬิกาที่ทั้ง "ใช้งานได้จริงและมีสไตล์" อย่างแท้จริง
ไดนิ เซโคฉะ เดิมคือแผนกผลิตนาฬิกาของบริษัทเซโคฉะ ซึ่งตั้งอยู่ในเขตคาเมะอิโดะของโตเกียว และได้แยกตัวออกมาเป็นผู้ผลิตอิสระในปี 1937 อย่างไรก็ตาม สงครามแปซิฟิกส่งผลกระทบอย่างหนักต่อปริมาณการผลิต และโรงงานที่คาเมะอิโดะก็ถูกทำลายลง
คาเมะอิโดะตั้งอยู่ ในย่านชิตะมาชิ (shitamachi) ของโตเกียว ซึ่งเป็นย่านเก่าแก่ที่ขึ้นชื่อเรื่องความมีเอกลักษณ์และจิตวิญญาณที่เข้มแข็งของชาวเมือง ความภาคภูมิใจในท้องถิ่นนี่เอง ที่ช่วยให้ไดนิ เซโคฉะฟื้นตัวขึ้นได้หลังสงคราม และเป็นแรงบันดาลใจในการออกแบบ King Seiko เรือนหรูที่เปล่งประกายความภาคภูมิอย่างแท้จริง
นาฬิการุ่นแรกของ King Seiko มาพร้อมองค์ประกอบสำคัญที่กลายเป็นซิกเนเจอร์ของแบรนด์ ได้แก่ เข็มนาฬิกาที่มีเหลี่ยมคมชัด, อินเด็กซ์ทรงแข็งแกร่งโดดเด่น และตัวเรือนที่ออกแบบให้ดูเพรียวบางสวมใส่ง่าย กลไกภายในเป็นระบบไขลาน (manual-winding) ที่ใช้ทับทิมจำนวน 25 เม็ด เพื่อความแม่นยำและลดแรงเสียดทานในการทำงานของกลไก ถือเป็นรากฐานแห่งคุณภาพที่ King Seiko ยึดมั่นตั้งแต่เริ่มต้น
ในปี 1942 บริษัทในเครือแห่งใหม่ชื่อ Daiwa Kogyo ได้ถูกก่อตั้งขึ้นที่เมืองซูวะ จังหวัดนากาโนะ เพื่อเป็นฐานการผลิตระยะไกลของโรงงาน Daini Seikosha ต่อมาในปี 1959 บริษัทนี้ได้เปลี่ยนชื่อเป็น Suwa Seikosha ซึ่งกลายเป็นศูนย์กลางทางวิศวกรรมที่มีเป้าหมายในการสร้างแบรนด์นาฬิกาข้อมือระดับหรูที่มีความเที่ยงตรงเหนือกว่าคู่แข่งจากสวิตเซอร์แลนด์
ในเส้นทางนี้เอง King Seiko และ Grand Seiko จึงได้เดินเคียงข้างกันในฐานะสองแนวทางสู่ความเป็นเลิศแห่งนาฬิกาข้อมือระดับไฮเอนด์ — โดย Grand Seiko มุ่งแสดงออกถึงสุดยอดแห่งงานวิศวกรรมที่เปี่ยมด้วยความเที่ยงตรง ในขณะที่ King Seiko ถ่ายทอดดีไซน์ที่โดดเด่นและร่วมสมัยซึ่งสะท้อนรากเหง้าแห่งกรุงโตเกียว
ข่าวประชาสัมพันธ์ Seiko ฉบับปี 1961
รุ่นแรกของ King Seiko มาพร้อมรูปลักษณ์ที่ประณีตและอารมณ์ร่วมสมัยชัดเจน ดังที่เห็นในภาพโปรโมชันจากแผ่นพับสำหรับร้านค้าปี 1961 โดยในขณะนั้น นาฬิการุ่นนี้มีราคาตั้งแต่ ¥12,000 ถึง ¥15,000 ซึ่งเทียบเท่ากับเงินเดือนเริ่มต้นเฉลี่ยของบัณฑิตมหาวิทยาลัย จึงนับได้ว่า King Seiko เป็นนาฬิการะดับหรูในตลาดตั้งแต่ต้นกำเนิด
*KSK ย่อมาจาก King Seiko รุ่นที่มีเข็มวินาทีแบบหยุดได้ (hacking seconds hand)
การเปิดตัวของเข็มวินาทีแบบหยุดได้ (hacking seconds) ทำให้รุ่นนี้กลายเป็นนาฬิกาที่แสดงถึงเอกลักษณ์เฉพาะตัวของ King Seiko อย่างแท้จริง
องค์ประกอบด้านดีไซน์ เช่น ขาตัวเรือน (lug) ขนาดใหญ่ ดัชนีที่ตำแหน่ง 12 นาฬิกาซึ่งตกแต่งด้วยลวดลายหยักคล้ายกับที่ใช้บนไฟแช็กหรู และเส้นสายบนตัวเรือนที่คมชัด ล้วนถูกสืบทอดมาในรุ่นต่อๆ ไป และยังคงปรากฏอยู่ในนาฬิกา King Seiko จนถึงปัจจุบัน
กลไกของรุ่นนี้เป็นแบบไขลานด้วยมือ ประดับด้วยทับทิม 25 เม็ด ให้พลังงานขับเคลื่อนนาฬิกาอย่างเที่ยงตรง
King Seiko รุ่นที่สอง (KSK) โดดเด่นด้วยองค์ประกอบสำคัญอย่างตัวเรือนเหลี่ยมคม และขาตัวเรือนที่หนาแน่นแข็งแรง ซึ่งต่อมากลายเป็นเอกลักษณ์สำคัญของแบรนด์ King Seiko
รุ่น KSK ได้เปิดประตูสู่ยุคใหม่ของนาฬิกาหรูที่ผลิตในญี่ปุ่น โดยนำเสนอความเที่ยงตรงที่ยอดเยี่ยม พร้อมกลไกควบคุมเข็มวินาทีแบบใหม่ซึ่งถือเป็นนวัตกรรมล้ำหน้าในยุคนั้น
สำหรับรุ่นถัดมา มาตรฐานความเที่ยงตรงได้รับการพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น จนได้รับการรับรองจาก Japan Chronometer Inspection Institute ว่ามีความแม่นยำในระดับเดียวกับนาฬิกาหรูจากสวิส King Seiko จึงเป็นนาฬิกาหรูที่ผสานดีไซน์อันมีสไตล์ ความเที่ยงตรงในการบอกเวลา และราคาที่เหมาะสมไว้อย่างลงตัว
*King Seiko Calendar Chronometer
รุ่น 45KCM ได้เปลี่ยนแปลงภาพลักษณ์ของ King Seiko ไปอย่างชัดเจน ด้วยเส้นสายของตัวเรือนที่โค้งมนมากขึ้น แตกต่างจากรูปทรงเหลี่ยมคมที่เป็นเอกลักษณ์ของรุ่นก่อนหน้า อีกทั้งยังเป็น King Seiko รุ่นแรกที่มาพร้อมกลไกระดับความเที่ยงตรงสูงแบบความถี่ 36,000 ครั้งต่อชั่วโมง ดีไซน์ใหม่ที่ดูโฉบเฉี่ยว ผสานกับมรดกความหรูหราของ King Seiko และรายละเอียดที่โดดเด่นอย่างพื้นผิวกระจกเงาระหว่างด้านบนกับด้านข้างของตัวเรือน ส่งผลให้ 45KCM กลายเป็นนาฬิกาที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว และสื่อถึงความพรีเมียมได้อย่างชัดเจน กลไกเป็นระบบไขลานแบบแมนนวล ประดับด้วยทับทิม 25 เม็ด เพิ่มความเที่ยงตรงและความเสถียรในการใช้งานระดับสูง
แบรนด์ King Seiko เคยออกแบบและผลิตนาฬิกาหลากหลายรุ่นที่มาพร้อมคุณสมบัติล้ำสมัย เช่น ตัวเรือนแบบชิ้นเดียวที่ปิดสนิทแน่นหนา และดีไซน์อันล้ำหน้าเหนือยุคสมัย แต่เมื่อเข้าสู่ช่วงทศวรรษ 1970 ยุคของ King Seiko ก็เริ่มจางหายลง โดยมีสาเหตุสำคัญมาจากการถือกำเนิดของนาฬิกาควอตซ์ในปี 1969 ซึ่งเปลี่ยนโฉมหน้าของวงการนาฬิกาไปอย่างสิ้นเชิง และในที่สุด การผลิต King Seiko ก็ถูกยุติลงในเวลาต่อมา
หลังจากห่างหายจากวงการนาฬิกานานกว่า 60 ปี ในปี 2022 King Seiko ได้กลับมาอีกครั้งอย่างสง่างาม ด้วยดีไซน์อันเป็นเอกลักษณ์ที่ได้รับการถ่ายทอดผ่านเทคโนโลยีสมัยใหม่
King Seiko รุ่นใหม่ที่ได้รับสมญาว่า “The Newest Classic” คือการผสานกันอย่างลงตัวระหว่างศาสตร์การผลิตนาฬิกาชั้นสูงกับความเปล่งประกายที่เป็นอมตะของต้นฉบับในยุคก่อน